1. ปิด Bluetooth, GPS และ NFC
- การเปิดบลูทูธทิ้งไว้นับว่าเปลืองแบตเตอรี่มาก แนะนำให้ปิดไว้ และเวลาใช้ก็พยายามให้มือถืออยู่ในวงของ Bluetooth ที่เราต้องการจะรับส่งข้อมูล เพราะถ้ายิ่งเอาออกห่างเท่าไหร่ มือถือเราก็จะประมวลผลในการค้นหาอุปกรณ์ Bluetooth ของอีกเครื่องมากเท่านั้น
- GPS นั้นกินแบตเตอรี่มากกว่า Bluetooth ถึงแม้ว่า GPS จะช่วยให้อุปกรณ์ Android ทำงานได้เป็นอย่างดีในแอพพลิเคชั่นต่างๆ แต่พอถึงเวลาที่ต้องการที่จะ ประหยัดแบตเตอรี่ ก็ควรที่จะปิด GPS โดยเฉพาะตอนที่เคลื่อนที่ไปไหนต่อไหน โดยที่ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ Android
- ส่วน NFC คนไทยไม่ค่อยได้ใช้กันอยู่แล้ว อาจจะมีใช้บ้างเล็กน้อย เช่น แลกเปลี่ยน Contact หรือส่งไฟล์ให้กัน เป็นต้น เพราะฉะนั้น ควรปิดไว้ ถ้าต้องการจะเปิดก็ทำ Shortcut ไว้หน้า Home Screen ก็ได้ครับ จะช่วยประหยัดเวลาในการเปิด NFC
2. ปิดการใช้งานในส่วน "ระบุตำแหน่งด้วย Wi-Fi" (Wi-Fi Network Location Positioning)
ถึงแม้ว่า Android จะใช้ GPS ในการระบุตำแหน่งของคุณ แต่ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่สามารถระบุตำแหน่งได้นั่นคือ "การระบุตำแหน่งด้วย Wi-Fi" ซึ่งจะใช้ Wi-Fi ในการค้นหาตำแหน่ง และกินแบตเตอรี่น้อยกว่า GPS อย่างไรก็ตามปิดไว้ดีกว่าเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ โดยไปที่ Setting > Location และ ติ๊กเครื่องหมายถูกออกในช่อง "Wi-Fi Network Location Positioning" หรือถ้าเป็น Android เวอร์ชั่นใหม่ๆ ก็จะเป็น "Wi-Fi & mobile network location"
3. พยายามใช้ Wi-Fi เมื่อมีสัญญาณ และปิด Wi-Fi เมื่อทีการเคลื่อนที่
การค้นหาสัญญาณ Wi-Fi ของ Android นั้นกินแบตเตอรี่เยอะพอสมควร เพราะฉะนั้นเวลาต่อ Wi-Fi ต้องไม่เคลื่อนที่บ่อยๆ และอย่าลืมปิด Wi-Fi เมื่อมีการย้ายตำแหน่ง หรือระหว่างที่เคลื่อนที่ แต่ถ้าเป็นการใช้งานอยู่กับที่แนะนำให้เปิด Wi-Fi เพราะกินแบตเตอรี่น้อยกว่า 3G
4. ลดความสว่างของหน้าจอ
ยิ่งหน้าจอใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งกินแบตเตอรี่มากเท่านั้น ดังนั้นเวลาที่ต้องการที่จะเซฟแบตเตอรี่ให้ใช้ได้ทั้งวัน ก็ควรที่จะปรับความสว่างของหน้าจอ ให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ หรือถ้าเป็น มือถือ Android รุ่นใหม่ๆ ก็จะมีเซนเซอร์ที่สามารถปรับความสว่างของหน้าจอได้โดยอัตโนมัติเลย
5. ใช้ Wallpaper โทนสีดำ
สำหรับข้อนี้เหมาะกับ มือถือ Android ที่ใช้หน้าจอแบบ AMOLED เช่น Samsung ตระกูล Galaxy ทั้งหลาย เป็นต้น โดยการใช้ Wallpaper โทนสีดำจะช่วยให้ลดการแสดงผลของแต่ละ Pixels
***หมายเหตุ ข้อนี้อาจจะช่วย ประหยัดแบตเตอรี่ ไม่ได้มากเท่าที่ควร
6. จัดการ Clear แอพพลิเคชั่น ที่ไม่ได้ใช้
บางคนอาจจะเปิดแอพพลิเคชั่นเยอะเกิน จนลืมปิด ทำให้ระบบทำงานหนักจนเกินกว่าที่หน่วยประมวลผลจะรับไหว ส่งผลให้เครื่องร้อน และกินแบตเตอรี่ .. แนะนำให้ปิดแอพพลิเคชั่นที่เปิดทิ้งไว้ โดยกดปุ่ม Home ค้าง แล้วปัดแอพที่ไม่ได้ใช้ออกไป หรือว่าจะไปที่ Settings > Apps > Running > เลือกแอพ และกด Stop เพื่อหยุดการทำงานของแอพนั้นๆ
7. ตรวจสอบการใช้งานแบตเตอรี่ของแต่ละแอพ
8. Root Android
การ Root เครื่องบน Android ก็เหมือนกับการ Jailbreak/ Unlock บน iOS นั่นแหละครับ ประโยชน์ของการ Root เครื่องสามารถปรับแต่งเครื่องให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้ ดังนี้
- ถอนการติดตั้งแอพที่ติดมาจากโรงงานได้
- กำหนดความเร็วของหน่วยประมวลผลให้ช้าลง (วิธีนี้ช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่มาก )
- ลง custom ROM ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องดีขึ้น
- ใช้แอพ ROM Toolbox ให้คุณปรับแต่งการใช้แบตเตอรี่ได้หลากหลายวิธี
***หมายเหตุ การ Root เครื่องต้องมีความรู้เรื่องระบบ Android นิดนึง เพราะมีความเสี่ยงอาจจะทำให้เครื่องของคุณได้รับความเสียหายได้
อ้างอิง http://www.oneclickroot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น